ไททาเนียมถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1791 โดยดับเบิ้ลยู - เกรเกอร์ (W. Gregor) คำว่า 'Titanim ' มาจากภาษาละติน 'Titan' เป็นโลหะที่แฝงตัวอยู่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของสินแร่ พบมากเป็นอันดับ 9 บนพื้นผิวโลก และมักจะพบในแหล่งแร่พวก ริวไทล์ (Rutile) และอิลเมไนต์ (Iimenite) ซึ่งต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนในการสกัดเอาไททาเนียมนี้ออกมา ผู้ผลิตไททาเนียมรายใหญ่ได้แก่สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และ จีน โดยผู้ที่แยกไททาเนียมออกจากสินแร่รายใหญ่ คือ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย จากการที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการแยกไทเทเนียม โลหะนี้จึงไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่งในช่วงปี 1950 ไทเทเนียมมีสีเทาขาวเนื้อเงา น้ำหนักเบากว่าเหล็ก 50% แต่หนักกว่า อะลูมิเนียม (Aluminum) 60% จุดเด่นของไทเทเนียมคือ เนื้อโลหะ มีความแข็งกว่าอะลูมิเนียม 2 เท่า มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อการเกิดสนิม ไม่เป็นสื่อแม่เหล็ก
กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ต้นทุนในการแปลงสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ต่ำ ไทเทเนียมได้รับความนิยมเลือกใช้เป็นวัสดุสำหรับการผลิตสินค้าในด้านต่างๆ เช่น ด้านการบินและอวกาศ เนื่องจากน้ำหนักที่เบา ด้านการแข่งรถ เพราะมีความยีดหยุ่นสูง ด้านการแพทย์เนื่องจากไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ด้านเครื่องใช้ เช่น นาฬิกา และแว่นตา เนื่องจากคุณสมบัติที่ไม่สร้างความระคายเคืองแก่ผิวหนัง จากความแพร่หลายในการใช้งานของไทเทเนียม ทำให้นักวิจัยได้พัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพของไทเทเนียมอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันความบริสุทธิ์ ของไทเทเนียมในมุมมองจองนักวิชาการในห้องทดลองเพื่อการวิจัยแล้ว จะหมายถึง ไทเทเนียม 100% เท่านั้น แต่สำหรับไทเทเนียมในเชิงธุรกิจจะแบ่งออกเป็นหลายเกรด โดยเกรดที่ต่ำกว่าจะบ่งบอกถึงระดับความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะที่สูงกว่า ดังนั้น ไทเทเนียมเกรด 1 2 3 และ 4 จึงมีส่วนประกอบที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ประมาณ 99% ของเนื้อโลหะจะเป็นไทเทเนียม เกรดที่สูงขึ้นจะหมายถึงการผสมโลหะอื่นเข้าไปในเนื้อไทเทเนียม เช่น คาร์บอน เหล็ก ไนโตรเจน ออกซิเจน และ ไฮโดรเจน ไทเทเนียมตั้งแต่เกรด 5 ขึ้นไป จะผสมไปด้วยโลหะหลายๆประเภท เช่น อะลูมิเนียม วานาเดียม (Vanadium) คาร์บอน ไฮโดรเจน เหล็ก ไนโตรเจน ออกซิเจน ซึ่งเราเรียกโลหะผสมเหล่านี้รวมๆว่า ' อัลลอย ' (Alloy) สาเหตุที่นักวิจัยพยายามเพิ่มอัลลอยเหล่านี้เข้าไปในเนื้อ ไทเทเนียม เนื่องจากต้องการให้เนื้อโลหะมีความทนทานในการใช้งานมากขึ้น ซึ่งสูงถึง 2 - 3 เท่าเมื่อเทียบกับไทเทเนียมเกรด 1 หรือ 2หรือแม้กระทั่งเหล็ก ทนทานต่อสนิมที่เกิดจากน้ำเค็ม กรด และด่าง และสารเคมีต่างๆ ในขณะเดียวกัน คุณสมบัติทางด้านการไม่สร้างความระคายเคืองกับส่วนต่างๆของร่างกาย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของนิกเกิลก็ยังคงมีอยู่ ทำให้ไทเทเนียม เกรด 5 ขึ้นไปสามารถนำไปปรับใช้ ในการผลิตวัสดุสำหรับงานประเภทต่างๆได้หลากหลายยิ่งขึ้น บทบาทของไทเทเนียมในอุตสาหกรรมนาฬิกาเริ่มต้นในปี 1980 IWC เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ริเริ่มการนำไทเทเนียมมาใช้เป็นวัสดุผลิตตัวเรือนและสายนาฬิกา โดยการออกแบบของ เอฟ. เอ. พอร์ช (F.A. Porsche) ภายใต้ชื่อ พอร์ช ดีไซน์ (Porsche Design) นับแต่นั้นมา ผู้ผลิตนาฬิกาได้หันมาให้ความสนใจ และเลือกใช้ไทเทเนียมเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตนาฬิกาของตน ไทเทเนียมที่ใช้ผลิตนาฬิกา ส่วนใหญ่จะเป็นไทเทเนียมเกรด 1 และ 2 เนื่องจากขั้นตอนในการแปรสภาพให้เป็นสินค้าไม่ซับซ้อนเกินไป สีของเนื้อโลหะจึงเป็นสีเทาด้าน ไม่สามารถขัดแต่งได้ TAG Heuer เป็นผู้ผลิตนาฬิการายแรกที่มีการนำเอาไทเทเนียมเกรด 5 มาใช้ทำตัวเรือนนาฬิกาในรุ่น คีเรียม ทีไอ5 (Kirium-Ti-5) แต่ก็ยังไม่มีการเปิดตัวสายที่
กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ต้นทุนในการแปลงสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ต่ำ ไทเทเนียมได้รับความนิยมเลือกใช้เป็นวัสดุสำหรับการผลิตสินค้าในด้านต่างๆ เช่น ด้านการบินและอวกาศ เนื่องจากน้ำหนักที่เบา ด้านการแข่งรถ เพราะมีความยีดหยุ่นสูง ด้านการแพทย์เนื่องจากไม่มีการต่อต้านจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ด้านเครื่องใช้ เช่น นาฬิกา และแว่นตา เนื่องจากคุณสมบัติที่ไม่สร้างความระคายเคืองแก่ผิวหนัง จากความแพร่หลายในการใช้งานของไทเทเนียม ทำให้นักวิจัยได้พัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพของไทเทเนียมอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันความบริสุทธิ์ ของไทเทเนียมในมุมมองจองนักวิชาการในห้องทดลองเพื่อการวิจัยแล้ว จะหมายถึง ไทเทเนียม 100% เท่านั้น แต่สำหรับไทเทเนียมในเชิงธุรกิจจะแบ่งออกเป็นหลายเกรด โดยเกรดที่ต่ำกว่าจะบ่งบอกถึงระดับความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะที่สูงกว่า ดังนั้น ไทเทเนียมเกรด 1 2 3 และ 4 จึงมีส่วนประกอบที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ประมาณ 99% ของเนื้อโลหะจะเป็นไทเทเนียม เกรดที่สูงขึ้นจะหมายถึงการผสมโลหะอื่นเข้าไปในเนื้อไทเทเนียม เช่น คาร์บอน เหล็ก ไนโตรเจน ออกซิเจน และ ไฮโดรเจน ไทเทเนียมตั้งแต่เกรด 5 ขึ้นไป จะผสมไปด้วยโลหะหลายๆประเภท เช่น อะลูมิเนียม วานาเดียม (Vanadium) คาร์บอน ไฮโดรเจน เหล็ก ไนโตรเจน ออกซิเจน ซึ่งเราเรียกโลหะผสมเหล่านี้รวมๆว่า ' อัลลอย ' (Alloy) สาเหตุที่นักวิจัยพยายามเพิ่มอัลลอยเหล่านี้เข้าไปในเนื้อ ไทเทเนียม เนื่องจากต้องการให้เนื้อโลหะมีความทนทานในการใช้งานมากขึ้น ซึ่งสูงถึง 2 - 3 เท่าเมื่อเทียบกับไทเทเนียมเกรด 1 หรือ 2หรือแม้กระทั่งเหล็ก ทนทานต่อสนิมที่เกิดจากน้ำเค็ม กรด และด่าง และสารเคมีต่างๆ ในขณะเดียวกัน คุณสมบัติทางด้านการไม่สร้างความระคายเคืองกับส่วนต่างๆของร่างกาย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของนิกเกิลก็ยังคงมีอยู่ ทำให้ไทเทเนียม เกรด 5 ขึ้นไปสามารถนำไปปรับใช้ ในการผลิตวัสดุสำหรับงานประเภทต่างๆได้หลากหลายยิ่งขึ้น บทบาทของไทเทเนียมในอุตสาหกรรมนาฬิกาเริ่มต้นในปี 1980 IWC เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ริเริ่มการนำไทเทเนียมมาใช้เป็นวัสดุผลิตตัวเรือนและสายนาฬิกา โดยการออกแบบของ เอฟ. เอ. พอร์ช (F.A. Porsche) ภายใต้ชื่อ พอร์ช ดีไซน์ (Porsche Design) นับแต่นั้นมา ผู้ผลิตนาฬิกาได้หันมาให้ความสนใจ และเลือกใช้ไทเทเนียมเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตนาฬิกาของตน ไทเทเนียมที่ใช้ผลิตนาฬิกา ส่วนใหญ่จะเป็นไทเทเนียมเกรด 1 และ 2 เนื่องจากขั้นตอนในการแปรสภาพให้เป็นสินค้าไม่ซับซ้อนเกินไป สีของเนื้อโลหะจึงเป็นสีเทาด้าน ไม่สามารถขัดแต่งได้ TAG Heuer เป็นผู้ผลิตนาฬิการายแรกที่มีการนำเอาไทเทเนียมเกรด 5 มาใช้ทำตัวเรือนนาฬิกาในรุ่น คีเรียม ทีไอ5 (Kirium-Ti-5) แต่ก็ยังไม่มีการเปิดตัวสายที่
ทำจากไทเทเนียมเกรด 5 เนื่องจากโรงงานยังไม่สามารถจัดการกับความแข็งของมันให้เกิดความสบายในการสวมใส่ได้ ในปี 2003 มีนาฬิการุ่นใหม่ที่ผลิตจากไทเทเนียมตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับบน เช่น ไซโก รุ่นสปอร์ตทูรา ไทเทเนียม โอริส(Oris) รุ่น TT1 Divers Titanium ไป จนถึง Breitling Avenger Seawolf เป็นต้น ไทเทเนียมได้ทวีความเป็นวัสดุที่แพร่หลายในวงการนาฬิกาอันเนื่องมาจากเทคโนโลยีในการผลิตที่ก้าวหน้า ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลง และสามารถตอบสนองความต้องการของนักออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกเหตุผลหนึ่งที่ไทเทเนียมเป็นที่นิยมในนาฬ ิการุ่นใหม่ๆก็เพราะแนวโน้มของขนาดของนาฬิกาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไทเทเนียมจึงเป็นวัสดุทางเลือกที่น่าสนใจ อันหนึ่ง ทั้งในแง่ของความทนทานต่อการสึกกร่อนและน้ำหนักที่เบากว่าโลหะอื่นกว่าครึ่ง
แหล่งข้อมูล http://expert-watch.com.www.readyplanet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=397910&Ntype=5

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น